หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หนังเกาหลีไม่ได้มีดีแค่หนังรัก


ต้องยอมรับกันว่าเดี๋ยวนี้ในบ้านเราหันไปทางไหนก็มีแต่กระแส “เกาหลีฟีเวอร์” ทั้งเรื่องภาษา อาหารการกิน ดารานักร้อง รวมไปถึงบรรดาซีรี่ย์ที่คนไทยต่างติดกันงอมแงม ซึ่งนั่นก็เอื้อให้บรรดาหนังใหญ่ๆของเกาหลีได้พาเรดเข้ามาฉายในเมืองไทย แต่ก็มีเรื่องแปลก นั่นคือหนังใหญ่ของเกาหลีที่เข้าฉายในบ้านเรา แม้บางเรื่องจะดูฟอร์มแล้วน่าจะกวาดรายได้ไปเยอะ แต่ผิดคาดกลับทำรายได้อย่างน่าผิดหวัง ในขณะที่พวกซีรี่ย์กลับมีคนดูอย่างล้นหลาม ความจริงหนังเกาหลีก็ไม่ใช่จะเป็นหนังที่ไม่มีคุณภาพ แต่อาจเป็นเพราะเหล่าซีรี่ย์ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นแนวโรแมนติกเลยทำให้คนไทยส่วนใหญ่ติดภาพลักษณ์ของซีรี่ย์และหนังโรงว่าหนังเกาหลีมีดีแต่หนังรักเท่านั้น และกลุ่มคนดูหนังเกาหลีอย่างจริงจังก็ยังมีปริมาณที่ไม่มากนัก นี่อาจเป็นสาเหตุที่หนังโรงของเกาหลีที่เข้ามาฉายในบ้านเรานั้น ไม่ประสบความสำเร็จแบบจริงๆจังๆเสียที
ปัญหาก็คือจริงๆแล้วหนังเกาหลีมีความหลากหลายมากๆเลยทีเดียวเช่นหนังการเมือง,แอ็กชั่น,สยองขวัญ,ดราม่า ไปจนถึงหนังสัตว์ประหลาดบุกเมืองกันเลยทีเดียว ซึ่งหนังประเภทเหล่านี้ของเกาหลีบางเรื่อง ก็จัดอยู่ในขั้นน่าดูมากๆไปจนถึงขั้นห้ามพลาดกันเลย ดังนั้นผมจึงอยากจะขอแนะนำหนังเกาหลีดีๆที่ไม่ใช่หนังรัก มานำเสนอกับท่านผู้อ่าน เผื่อว่าท่านอาจกำลังจะเลี่ยนกับหนังรักหรือซีรี่ย์แนวรักๆกุ๊กกิ๊กๆอยู่ ก็ลองหาหนังที่ผมแนะนำต่อไปนี้มาดูได้(และหนังเกาหลีที่จะแนะนำต่อไปนี้ขอบอกว่าเป็นเพียงส่วนเล็กๆของหนังเกาหลีที่เจ๋งๆเท่านั้นเอง) แล้วท่านจะรู้ว่าหนังเกาหลีไม่ได้มีดีแค่หนังรักจริงๆ
























1.The City of Violence : โหดคู่ สู้ไม่ถอย (2000)
ผู้กำกับ : ริวซึงวัน
นักแสดงนำ : จองดูฮอง,ริวซึงวัน,ลีบัมซู
หลังจากที่กำกับหนังแอ็กชั่นอินดี้ๆที่มีคิวบู๊แบบสมจริงและดิบเถื่อนอย่าง “Die Bad ทรชนคนอันตราย”(2000)และหนังแอ็กชั่นวุ่นๆของสองสาวใน “No Blood No Tears สาวป่วนแสบสะท้านโลก”(2002) หลังจากหนังสองเรื่องนี้ “ริวซึงวัน” ก็โด่งดังในฐานะคนทำหนังแอ็กชั่นคิวบู๊มันๆ ซึ่งหลังจากที่เขาทำหนังเรื่อง “Arahan ศึกทะยาน กวดวิชาถล่มมาร”(2004) หนังแอ็กชั่นปนตลก แฟนของเขาก็ต่างเรียกร้องให้เขากลับมาทำหนังที่มีคิวบู๊มันๆเน้นๆ อีกครั้ง เขาจึงทำหนังเรื่อง “The City of Violence โหดคู่ สู้ไม่ถอย” ขึ้นมา
The City of Violence เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนที่อาศัยอยู่ในเมืองๆหนึ่ง พอพวกเขาเติบโตต่างก็แยกย้ายกันไป แล้วก็มีเหตุที่ทำให้เหล่าเพื่อนกลุ่มนี้ต้องมารวมตัวกันอีกครั้งเมื่อ สมาชิกในกลุ่มถูกฆ่าตายอย่างน่าสงสัย
หนังเรื่องนี้ในบางฉากก็มีการใส่ดนตรีและการถ่ายภาพแบบหนังคาวบอย ซึ่งหนังคาวบอยก็มักจะมีเมืองๆหนึ่งที่มักจะเป็นเมืองที่อันตราย ไม่น่าไว้วางใจ มีความรุนแรงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้ว The City of Violence ก็ใช้ดนตรีและถ่ายภาพให้ออกมาคล้ายๆกับหนังควาบอย ซึ่งก็เข้ากับเรื่องราวในหนังที่นำเสนอถึงเมืองที่อันตรายได้เป็นอย่างดี และที่เด่นสุดๆของหนังเรื่องนี้เหล่าฉากแอ็กชั่นที่มีคิวบู๊ที่หนักแน่นและจริงจัง จนคนดูสามารถรู้สึกตามตัวละครได้เลย


























2.Silmido:เกณฑ์เจ้าพ่อไปเป็นทหาร (2003)
ผู้กำกับ: คัง วู ซก
นักแสดงนำ : อาน ชองจี,โซล จียอง,ฮีโอ
เกาหลีมีสูตรเด็ดในการทำหนังให้ได้รายได้แบบถล่มทลายในเกาหลี นั่นคือการหยิบเรื่องราวระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้มาทำเป็นหนัง ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่อิงมาจากเรื่องจริงจะยิ่งทำเงินมากยิ่งขึ้น และหนังเรื่อง “Silmido เกณฑ์เจ้าพ่อไปเป็นทหาร” ก็เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ใช้สูตรนั้น
หนังอิงมาจากเรื่องจริงของเรื่องราว 30 ปีที่ผ่านมา เมื่อเกาหลีเหนือส่งหน่วยสังหารหมายจะลอบสังหารประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ แต่ทำไม่สำเร็จ แต่นั่นก็ทำให้เกาหลีใต้คิดตอบโต้ โดยการนำเหล่านักโทษที่เป็นเหล่ามาเฟียมาฝึกให้เป็นสุดยอดนักฆ่าเพื่อนำหน่วยสังหารนี้ไปลอบสังหารผู้นำของเกาหลีเหนือเป็นการเอาคืน
Silmido มาในโทนหนังแอ็กชั่นทหาร แบบให้เห็นการฝึกเป็นนักฆ่าว่าต้องทรหด และอดทนกันขนาดไหน ซึ่งหนังก็ทำออกมาได้ดูสนุกและมันส์มากๆ และหนังยังแสดงให้เห็นความผูกพันของเหล่ามาเฟียที่พาโดนมาฝึก ว่าพวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกันขนาดไหน






























3. R-Point: สมรภูมิผี (2004)
ผู้กำกับ : คง ซู ชาง
นักแสดงนำ : คัม วู ซอง,ซอน เบยองโฮ,โอ เท
หนังแนวผีๆสางๆ ประเทศเกาหลี ก็ผลิตออกมาบ่อยๆ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีคุณภาพซะเท่าไหร่ แต่ก็มีหนังเรื่องผีอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือหนังเรื่อง “R-Point สมรภูมิผี”
R-Point นำเสนอกองกำลังทหารกองหนึ่งที่ที่เข้าไปสำรวจในพื้นที่เขต R-Point ในเวียดนาม หลังจากมีเสียงวิทยุขอความช่วยเหลือจากที่นั่น ซึ่งความเป็นจริงไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่อทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้ตายไปหมดแล้ว!
หนังใช้ฉากหลังอยู่ในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งหนังสามารถใช้ความน่ากลัวของสถานที่ในสถานที่เกิดเหตุ(เข้าใจว่าเป็นป่าช้า)ได้อย่างเป็นประโยชน์ จนสามารถทำให้หนังเล่นกับความน่ากลัวของฉากหลังได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้หนังยังสามารถคุมจังหวะให้ระทึกและเสียวสันหลังได้ดีมากๆ(อาจจะเป๋ๆบ้างในตอนท้ายๆ) ล่าสุดผู้กำกับ “คง ซู ชาง” ยังคงสร้างหนังผีผสมหนังทหารเหมือนเดิมกับ “G.P. 506”คราวนี้เขาทำให้ทหารต้องผจญกับทหารที่กลายเป็นซอมบี้นักสังหารกันเลย! หนังเข้าฉายหลายประเทศแต่ไม่รู้จะเข้าฉายในไทยหรือไม่ ต้องรอลุ้น)
























4. JSA: Joint Security Area: สงคราม เกียรติยศ มิตรภาพ เหนือพรมแดน (2000)
ผู้กำกับ : พักชานวุค
นักแสดงนำ : ลียองเอ,ซองกังโฮ,ชิน ฮาคุน
ก่อนที่จะมาโด่งดังในระดับนานาชาติกับ “Old Boy เคลียร์บัญชีแค้น จิตโหด!”(2003) ผู้กำกับ “พักชานวุค” เคยทำหนังที่สามารถทำรายได้สูงมากเรื่องหนึ่งในเกาหลี โดยใช้สูตร “เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้” เหมือนกัน นั่นคือเรื่อง “JSA: Joint Security Area สงคราม เกียรติยศ มิตรภาพ เหนือพรมแดน” นั่นเอง
JSA: Joint Security Area เป็นเรื่องราวของความความผูกพัน และความขัดแย้งของสองชาติระหว่าง เกาหลีเหนือ กับ เกาหลีใต้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารของทั้งสองชาติ ที่เขตปลอดทหารที่เรียกว่า “JSA” ที่เป็นเส้นกันแบ่งแดนระหว่างสองชาติ แต่การปะทะครั้งนี้ เมื่อยิ่งสืบสาวราวเรื่องเท่าไหร่ ก็จะพบเรื่องความราวมิตรภาพของคนจากสองสัญชาติที่ลึกๆแล้วเขาคือพี่น้องร่วมชาติกันมาก่อน
หนังใช้วิธีการเล่าเรื่องในแบบค่อยๆเปิดเผยประเด็นปมสำคัญของหนัง ซึ่งหนังก็ทำออกมาได้ดีมากๆ รวมทั้งหนังยังสอดแทรกเรื่องความเป็นพี่น้องร่วมชาติระหว่างคนเกาหลีเหนือกับคนเกาหลีใต้มานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ และหนังยังมีการแสดงชั้นดีของนักแสดงแถวหน้าของเกาหลีทั้ง “ลียองเอ” กับ “ซองกังโฮ” อีกด้วย


































5. Spring,Summer Fall,Winter and Spring: วงจรชีวิต กิเลสมนุษย์ (2003)
ผู้กำกับ : คิมคีดุ๊ค
นักแสดงนำ : ยอง คี คิม, ยองซู
“คิมคีดุ๊ค” เป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างอาภัพมากๆในเกาหลี ทั้งฝั่งคนดู(หนังของเขาเป็นหนังที่ค่อนข้างเข้าถึงได้ยาก)และฝั่งนักวิจารณ์(ที่เริ่มเบื่อกับสไตล์หนังของเขา) แต่ในระดับนานาชาติแล้วหนังของเขายังเป็นที่ป็อปปูล่าในหมู่คนต่างชาติมากๆ ซึ่งสำหรับหนังเรื่อง “Spring,Summer Fall,Winter and Spring วงจรชีวิต กิเลสมนุษย์” นี้เป็นหนังที่เกือบทุกคนลงความเห็นว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดของเขา
Spring,Summer Fall,Winter and Spring เป็นเรื่องราวของพระหนุ่มคนหนึ่งที่ได้แอบได้เสียกับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วทั้งคู่ก็หลบหนีออกจากวัด เพื่อใช้ชีวิตในทางโลก แล้วเขาก็พบว่าชีวิตทางโลกนั้นน่ากลัวขนาดไหน แล้วบางทีชีวิตแบบทางธรรมอาจจะเหมาะกับเขาที่สุดแล้ว
หนังมีจังหวะการดำเนินเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป และหนังเน้นใช้การเล่าเรื่องด้วยภาพ มากกว่าที่จะใช้บทสนทนา นี่เป็นหนังที่มีความคมคายเป็นอย่างมากในการใช้ฤดูกาลมาเปรียบกับชีวิตของมนุษย์ และหนังยังอิงจาหลักธรรมของศาสนาพุทธได้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
----------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น